17.3K
10 พฤษภาคม 2567
ปัจจุบันเมื่อรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป การทำงานที่บ้าน สลับกับเข้าออฟฟิศ ทำให้ระบบหลังคาอย่าง โซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ ระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Cell) เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะเกิดการใช้ระหว่างวันในการทำงานมากขึ้น รูปแบบหลังคาอย่าง โซล่ารูฟท็อป จึงเหมาะมากกับบ้านที่มีการเปิดแอร์หรือใช้ไฟในช่วงเวลากลางวัน เพราะแผงโซลาร์เซลล์ทำงานได้เมื่อมีแสงแดด
ดังนั้นเมื่อแผงโซลาร์เซลล์ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ก็จะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแสงจากดวงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง ด้วยกระบวนการ Photovoltaic Effect จากนั้นจะส่งไปยังอินเวอร์เตอร์ เพื่อแปลงพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ ทำให้บ้านหลังใดก็ตามที่มีการติดตั้ง โซล่ารูฟท็อป ไว้ ก็จะสามารถใช้งานเครื่องไฟฟ้าภายในบ้านได้ โดยไม่ต้องพึ่งกระแสไฟจากการไฟฟ้า รวมถึงหากกระแสไฟที่แปลงได้เกินกว่าความต้องการการใช้งาน ก็จะถูกส่งไปจัดเก็บในแบตเตอรี่เพื่อใช้งานต่อไป อีกทั้งหากมีกระแสไฟฟ้าเหลือใช้ ก็สามารถขายคืนให้กับการไฟฟ้า ถือเป็นการเพิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่ง
อย่างนี้แล้ว การติดตั้งระบบหลังคาโซล่าเซลล์ มีแต่ได้กับได้ ใช้พื้นที่บนหลังคา ติดโซล่ารูฟท็อป แปลงไฟฟ้าจากแสงธรรมชาติเหมือนได้ใช้ไฟฟรี แถมยังขายคืนกระแสไฟฟ้าเหลือใช้ ได้เงินเข้ากระเป๋าอีกด้วย
โดย “โซลาร์ รูฟ” มี 3 ระบบ ดังนี้
ระบบออนกริด (On-Grid System)
การติดตั้งแบบ On-Grid เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด การติดตั้งโซล่ารูฟท็อประเภทนี้ เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวันมากที่สุด โดยหากต้องการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาประเภทนี้ จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ก่อนติดตั้ง
ระบบไฮบริด (Hybrid System)
การติดตั้งระบบหลังคาโซล่ารูฟท็อปแบบ Hybrid ซึ่งจะมีระบบสำรองไฟฟ้า เหมาะกับบ้านที่มีปัญหาไฟตกบ่อย ถือเป็นระบบโซล่าเซลล์ที่ใช้บริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าภายในบ้านอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่เนื่องจากระบบสำรองไฟ หรือแบตเตอรี่ยังมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้การติดตั้งโซล่าเซลล์ แบบ Hybrid ไม่เหมาะกับระบบหลังคาโซล่ารูฟท็อป ตามอาคาร บ้านเรือนทั่วไป ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ระบบออฟกริด (Off-Grid System)
การติดตั้ง หลังคาโซล่ารูฟท็อป แบบ Off-Grid หรือเรียกง่ายๆ ว่า ระบบโซล่ารูฟ Stand Alone การติดตั้งโซล่าเซลล์ประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ก่อนดำเนินการติดตั้ง แต่ระบบหลังคาโซล่ารูฟท็อป ประเภท Off-Grid จำเป็นจะต้องมีแบตเตอรี่ในการสำรองไฟฟ้า สำหรับไว้ใช้ในตอนกลางคืน อีกทั้งการติดโซล่าเซลล์ประเภทนี้ยังเหมาะ กับบ้านที่ยังไม่มีระบบไฟฟ้ารองรับ
ติด SCG Solar Roof Solutions ให้บริการครบวงจร พร้อมกับประกัน 25 ปี
1. แผงโซลาร์ทาง SCG เลือกใช้แผง Tier 1
2. รับประกันตัวแผงโซลาร์ และประสิทธิภาพการผลิตไฟนาน 25 ปี
3. อินเวอร์เตอร์ (ระบบแปลงไฟ) รับประกัน 10 ปี**
4. ออกแบบการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) แบบ Case by case เพื่อให้โซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคาสามารถผลิตไฟได้สูงสุด
5. ติดตั้งโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ไม่เสี่ยงรั่ว ด้วยระบบ Solar FIX** สิทธิบัตรเฉพาะSCG
6. ดำเนินการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์จากภาครัฐให้ทั้งกระบวนการ
7. ติดตามการผลิตไฟได้ Real Time ผ่าน SCG Solar Application
8. มี After Sales Service ตรวจสอบระบบและล้างแผง 3 ปี** ปีละ 1 ครั้ง
(**อุปกรณ์ที่ใช้ และระยะเวลาการรับประกันขึ้นอยู่กับ Package ที่เลือกใช้)
สำหรับเจ้าของบ้านท่านไหนที่ใช้ไฟกลางวัน และลังเลที่จะติดโซล่าเซลล์อยู่ บอกเลยว่าติดได้เลย เพราะตอนนี้เทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้นมาก การติดตั้งโซล่ารูฟท็อปในปัจจุบันเป็นราคาที่จับต้องได้ นับเป็นการบริหารเงินให้คุ้มค่าได้อีกรูปแบบหนึ่ง และหากสนใจติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี (SCG Solar Roof Solutions) สามารถติดต่อได้ที่ SCG Experience , SCG Home Solution , SCG Roofing Center และ SCG Home บุญถาวร ทั่วประเทศ หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCG HOME Contact Center 02-586-2222