41.7K
21 สิงหาคม 2567
วัสดุสำหรับปูพื้นตกแต่งสวนภายนอกที่เป็นแผ่นสำเร็จรูปจริงๆ แล้วมีอยู่หลายประเภท ซึ่งวัสดุปูพื้นชนิดสำเร็จรูปที่พบในท้องตลาดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ บล็อกปูพื้น และกระเบื้องปูพื้น เชื่อว่าหลายๆคนคงมีความสงสัยว่ามันแตกต่างกันอย่างไรเราจะมาทำความรู้จักกับวัสดุทั้ง 2 ชนิด ให้มากขึ้นเพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่
“บล็อกปูพื้น” หรือที่หลายๆคนเรียกกันจนติดปากว่า บล็อกตัวหนอน หรือ อิฐตัวหนอน ผลิตจากคอนกรีต โดยมี หิน ปูน ทราย เป็นองค์ประกอบหลัก ก้อนบล็อกปูพื้นประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ชั้นตัวก้อนเป็นส่วนล่าง และชั้นผิวหน้าหรือชั้นสี เป็นชั้นส่วนผิวหน้า ตามมาตรฐานของเอสซีจีจะผสมสีในเนื้อคอนกรีตและชั้นผิวหน้ามีความหนาประมาณ 4 มม. จึงทำให้สีมีความคงทน ชั้นผิวหน้ามีความหนาประมาณ 4 มม. ผลิตโดยระบบ Dry Process ด้วยเครื่องจักรกำลังอัดสูง จึงมีความแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักได้สูง ถึง350 KSC (กิโลกรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร)
มีขนาดตั้งแต่ 8x8 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่ 40x80 เซนติเมตร ความหนาของบล็อกปูพื้นมีตั้งแต่ 6-12 เซนติเมตร และมีรูปทรงของตัวก้อนหลากหลายโดยส่วนใหญ่จะใช้เรียงต่อกันจนเกิดเป็น pattern ลวดลายที่สวยงาม และยังมีรุ่นอื่นที่ออกแบบมาให้สามารถปลูกหญ้า หรือ มีคุณสมบัติในการ ลดความร้อน อย่างเช่น รุ่น Cool Plus และน้ำสามารถไหลผ่านได้ระบายน้ำเร็วอย่าง porous block ของ เอสซีจี
สีสันและผิวหน้าของบล็อกปูพื้น ผิวหน้าจะมีความละเอียดน้อยกว่ากระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นเนื่องจากกรรมวิธีการผลิตแบบ Dry Process และส่วนใหญ่ใน 1 ก้อนจะมีสีเดียวทั้งก้อน Single Tone ไม่มีการทำลวดลายจากสี โดย เอสซีจีได้มีการออกแบบและพัฒนาผิวหน้าของก้อนบล็อกปูพื้น ให้มีความหลากหลาย เช่น ผิวหน้ามีความขรุขระแหมือนผิวหินในรุ่น Rocky Block หรือมีผิวหน้าโชว์เม็ดหินคล้ายกรวดล้างในรุ่น Sakura block และ Laguna Maldives
สรุปข้อดีและข้อด้อยของบล็อกปูพื้น
ข้อดี
- แข็งแรงทนทานอายุการใช้งานยาวนาน
- สามารถรับน้ำหนักได้มาก จึงใช้งานหนักๆอย่าง เช่น ถนนได้
- มีรูปทรงหลากหลายสามารถสร้าง Pattern ลวดลายได้ไม่จำกัด
- มีบล็อกที่มีคุณสมบัติพิเศษให้เลือกใช้ เช่น ปลูกหญ้าได้ ช่วยลดอุณหภูมิได้
- สามารถรื้อปรับปรุงซ่อมแซมพื้นทางได้โดยใช้วัสดุก้อนเดิมประหยัดค่าใช้จ่าย
ข้อด้อย
- มีรอยต่อระหว่างก้อนค่อนข้างมาก
- วัชพืชมักเกิดขึ้นตามรอยต่อของสินค้า (สามารถป้องกันได้)
- สีสันเป็นสีเดียวทั้งก้อน
กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น มีการเรียกชื่อหลายอย่างสำหรับวัสดุชนิดนี้ เช่น แผ่นปูพื้น, แผ่นทางเท้า, กระเบื้องปูพื้นภายนอก หรือกระเบื้องแต่งสวนเป็นต้น กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นผลิตจากซีเมนต์เป็นส่วนผสมหลัก ตัวแผ่นกระเบื้องประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ตัวก้อน และชั้นผิวหน้าหรือชั้นสีที่ความหนาประมาณ 5 มม. จึงทำให้สีมีความคงทน กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น เอสซีจี ผ่านการทดสอบด้วยการรับแรงอัดตามขวาง (Transverse strength) รับแรงดัดได้ประมาณ 3-5 MPa ตามมาตรฐาน มอก.
ขนาดของกระเบื้องปูพื้นที่นิยมมากที่สุด คือ ขนาด 40x40 เซนติเมตรและขนาด 30x60 เซนติเมตร ส่วนขนาดอื่นๆในท้องตลาดมีตั้งแต่ 10x10 , 20x20,30x30 ตลอดจน 60x60เซนติเมตร เป็นต้น ความหนาของแผ่นกระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น จะบางกว่าบล็อกปูพื้น โดยมีความหนา 3.5-4 เซนติเมตร ในส่วนของรูปทรงของแผ่นกระเบื้องส่วนใหญ่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื่องจากว่าสามารถปูต่อชนกันได้ง่าย ซึ่งในปัจจุบันมีการออกแบบรูปทรงกระเบื้องมาให้เลือกใช้หลากมากขึ้น ทั้งทรงกลม ทรงหกเหลี่ยม หรือรูปทรงเลียนแบบใบไม้ เป็นต้น
สีสันและผิวหน้าของกระเบื้องคอนกรีตปูพื้น ผิวหน้าแผ่นกระเบื้องจะมีความละเอียดเนื้อเนียนกว่าบล็อกปูพื้น และมีสีสันมีลวดลายที่สวยงาม เนื่องจากจะมีกระบวนการในการทำสีและลวดลายที่ผิวหน้าเข้ามาเพิ่มเติม เอสซีจี ได้มีการพัฒนาเรื่องการสร้างสีและลวดลายที่เสมือนจริงบนผิวหน้ากระเบื้อง ด้วยเทคโนโลยี UVT Ultimate Virtual Technology ทำให้กระเบื้องปูพื้นเอสซีจี มีลวยลายสีสันที่สวยงามเสมือนจริง และยังคนทนอีกด้วย สำหรับการใช้งานกระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น สามารถใช้ปูตกแต่งภายนอก ทั้งทางเดินในสวนลานพักผ่อน ตลอดจนถึงงานพื้นที่รับน้ำหนักปานกลางเช่น ลานจอดรถในบ้าน แต่ไม่เหมาะสำหรับการนำไปทำถนนรถวิ่งที่รับน้ำหนักสูง
สรุปข้อดีและข้อด้อยของกระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น
ข้อดี
- มีสีสันและลวดลายสวยงาม
- แผ่นมีขนาดใหญ่ จึงมีรอยต่อน้อย
- ปูชนชิดแนบสนิทไม่มีร่องระหว่างก้อน
- สามารถใช้งานตกแต่งพื้นภายนอกทั้งประเภทตกแต่งสวน พื้นที่รอบๆบ้าน
- สามารถใช้งานที่รับน้ำหนักปานกลางได้ เช่น พื้นลานจอดรถ (ต้องปูด้วยมอร์ต้าบนพื้นคอนกรีต)
ข้อเสีย
- รับน้ำหนักได้น้อยกว่าบล็อกปูพื้น
- ไม่เหมาะกับงานรับน้ำหนักมาก เช่น งานประเภทถนน
อย่างไรก็ดีวัสดุปูพื้นทั้ง 2 ชนิด ก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ควรเลือกวัสดุปูพื้นที่เหมาะสมกับการใช้งานโดยคำนึงถึงองค์ประกอบด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านลักษณะการใช้งาน ความเหมาะสมในการติดตั้งที่เข้ากับพื้นที่ รูปแบบหรือสไตล์ที่เข้ากับความงามของสถาปัตยกรรมโดยรอบ เป็นต้น
ปรับระดับและบดอัดพื้นดินให้แน่น รองพื้นด้วยทรายหยาบและทรายละเอียด เพื่อกันการทรุดตัวของพื้น
วางแนวและกำหนดระดับความสูงต่ำของพื้น โดยใช้เชือกฟางขึงเป็นแนวตรงตามความลาดเอียงที่ต้องการ
เทปูนทรายลงไปเป็นชั้นรองพื้นตามแนวและความหนาที่กำหนด โดยใช้ไม้ปาดให้ได้ระดับและเรียบเสมอกัน
เริ่มปูบล็อกหรือกระเบื้องคอนกรีตทีละแถว โดยให้มีร่องว่างระหว่างแผ่นประมาณ 2-5 มม.
โรยทรายละเอียดให้ทั่วเมื่อปูเต็มพื้นที่แล้ว แล้วใช้ไม้กวาดกวาดทรายให้เข้าไปอุดในร่องว่างจนเต็ม
ราดน้ำสะอาดล้างทรายส่วนเกินออก แล้วปล่อยให้พื้นแห้งสนิทอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนใช้งาน