ลดการใช้พลังงานพร้อมดูแลสุขภาวะที่ดี เพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนสู่รุ่นต่อไป
เคล็ดลับน่ารู้

ลดการใช้พลังงานพร้อมดูแลสุขภาวะที่ดี เพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนสู่รุ่นต่อไป

353

29 สิงหาคม 2567

ลดการใช้พลังงานพร้อมดูแลสุขภาวะที่ดี เพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนสู่รุ่นต่อไป พาเจาะลึก ONNEX Air Scrubber เทคโนโลยีที่รักษ์โลกไปพร้อมกับการดูแลคน


‘2065’ คือหมุดหมายของประเทศไทยในการ มุ่งมั่นที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญที่ท้าทายและเร่งด่วนอย่างยิ่ง ท่ามกลางการใช้ทรัพยากรและพลังงานของมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อน และ จากการรายงาน Global Climate Risk Index 2021 ของ Germanwatch ซึ่งติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากข้อมูลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติ ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนตัวเลขการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งที่เกิดภัยพิบัติ ในช่วงปี 2000-2019 ที่ผ่านมาของแต่ละประเทศ พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ที่มีความเสี่ยงจะเกิดภัยพิบัติและได้รับผลกระทบจากภาวะโลกเดือดมากที่สุด แม้จะเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของโลกก็ตาม นี่จึงเป็นเหมือนไฮไลท์สีแดงที่ขีดเส้นให้เราต้องเอาจริงเอาจังกับการรับมือและร่วมแก้ไขเรื่องนี้ ก่อนที่จะเกิดหายนะอันเกินจะแก้ไขได้ในอนาคต คำถามคือ ไทยจะไปถึงจุดนั้นได้จริงหรือ? เราจะขับเคลื่อนประเทศโดยสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดได้อย่างไร?

ภาพจาก : SCG Building and Living Care Consulting

หลังจากประกาศชัดบนเวที COP26 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 เมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้ว่า ‘ไทยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ในปี 2030 เพื่อมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ให้สำเร็จในปี 2065’ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าตอนนี้ประเทศไทยเหลือเวลาทำภารกิจแรกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ให้สำเร็จอีกเพียง 5 ปีกว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งหากเป้าหมายแรกยังไม่สำเร็จคงจะเป็นภาระและเรียกว่าเป็นวิกฤตในภารกิจลำดับต่อ ๆ ไป เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของไทยต่อพันธกิจโลก ที่ไม่ใช่เพียงลมปากและข้อกำหนดลอยลมในการมุ่งสู่การเป็น Net Zero ได้สำเร็จอย่างแท้จริง

แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อย่างที่ทราบกันดีว่าการร่วมมือเพื่อแก้วิกฤต ‘ภาวะโลกเดือด’ ในครั้งนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนตามศักยภาพที่แตกต่างกันออกไป ทั้ง ประชาชน ธุรกิจเอกชน รวมไปถึง รัฐบาล ผู้กำหนดทิศทางและมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิด ‘ความยั่งยืน’ มากยิ่งขึ้น

และแม้ทิศทางการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดภาวะโลกเดือดในไทยจะกำลังเติบโตและก้าวไปในทิศทางที่ดี แต่หากมองระยะเวลาเพียง 5 ปีกว่า ๆ กับภารกิจแรกนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ เนื่องจากภาคธุรกิจเอกชนส่วนใหญ่มองว่าการลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนนั้นเป็นสิ่งที่มีต้นทุนสูง ทั้งยังเห็นผลลัพธ์และคืนทุนช้า โดยหากมองผลลัพธ์ภาพรวมในระยะยาว กับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนให้กับเทคโนโลยีด้านความยั่งยืน น่าจะเป็นหนทางที่สร้างคุณค่าให้แก่องค์กรและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม


ONNEX Air Scrubber ตอบโจทย์ธุรกิจอาคาร/อุตสาหกรรม ด้านความยั่งยืน
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ธุรกิจคืนกำไรแก่โลกและสังคมอย่างหลากหลาย ซึ่งมักจะเป็นเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น เช่น เพื่อลดการใช้พลังงาน หรือ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคน จึงทำให้หลายองค์กรที่ต้องการยกระดับธุรกิจและอาคารให้สอดคล้องตามหลัก ESG มองหาเทคโนโลยีที่สามารถดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยไปพร้อม ๆ กันได้

‘ONNEX Air Scrubber’ ระบบบำบัดอากาศเสีย พร้อมลดภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ จากธุรกิจ ONNEX by SCG Smart Living จึงเป็นเทคโนโลยีในตลาด Climate Tech ที่มีคุณสมบัติหลัก ที่สามารถตอบโจทย์องค์กรได้ ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับระบบปรับอากาศ และระบายอากาศ (HVAC System) ของอาคารทุกประเภท ทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน ไปพร้อมกับการดูแลคุณภาพอากาศได้ โดยเป็นเทคโนโลยีเดียวที่ทำได้ในปัจจุบัน ซึ่งสามารถปฏิบัติ (compliance) ตามมาตรฐาน ASHRAE 62.1 ที่เน้นย้ำความสำคัญของคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) ที่ควรจะมีระบบที่ดีมากกว่าเพียงความต้องการขั้นต่ำ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นิยมนำมาอ้างอิงใช้ในการออกแบบเพื่อสุขอนามัยของคนในอาคาร

โดย ‘ONNEX Air Scrubber’ เป็นเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้ความร่วมมือของ ONNEX by SCG Smart Living และ enVerid ที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์ตลาดในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศในอาคารให้สะอาดปลอดภัย ควบคู่ไปกับความยั่งยืนของโลก

คุณสมบัติการทำงานด้วย Sorbent Ventilation technology
Sorbent Ventilation technology คือ ระบบที่ออกแบบมาเพื่อลดการใช้พลังงานในการระบายอากาศภายในอาคาร โดยการทำความสะอาดอากาศภายในอาคารให้สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างปลอดภัย ทำให้สามารถลดความต้องการนำเข้าอากาศจากภายนอกได้อย่างมาก ส่งผลดีในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการระบายอากาศและพลังงานโดยรวมได้ โดย Sorbent Ventilation technology ใน ‘ONNEX Air Scrubber’ ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานสูงสุดถึง 30% เมื่อเทียบกับระบบปรับอากาศของอาคารแบบทั่วไป

ปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร

นอกจากคุณสมบัติด้านพลังงาน ‘ONNEX Air Scrubber’ ยังมีจุดเด่นในการช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารโดยการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เกิดจากคน และสารประกอบอินทรีย์ระเหย (VOCs) จากวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทำความสะอาด ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถือเป็น 1 ใน 7 ก๊าซพิษ ที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด โดย ‘ONNEX Air Scrubber’ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้อย่างน้อย 8 Kg CO2/sq.m/year* และ ยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในอาคารให้มีค่าดีกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดถึง 750 ppm* ถือเป็นการดูแลสุขภาวะที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย
*ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากการทดสอบประสิทธิภาพ ONNEX Air Scrubber และคํานวณตามหลักวิศวกรรมเปรียบเทียบระหว่าง Ventilation Rate Procedure (VRP) และ Indoor Air Quality Procedure (IAQP) ที่กําหนดโดยมาตรฐาน ASHRAE Standard62.1, Ventilation and Acceptable Indoor Air Quality

เพิ่มคะแนน LEED และ WELL ในธุรกิจอาคารเขียวเพื่อความยั่งยืน

ด้วยคุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงาน ไปพร้อมกับการดูแลคุณภาพอากาศในอาคาร เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ‘ONNEX Air Scrubber’ ยังมีส่วนช่วยให้ธุรกิจอาคารที่มีความสนใจด้านความยั่งยืน ทำคะแนนเพื่อขอการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว ประเภท LEED ได้สูงสุดถึง 9 คะแนน ในหัวข้อ Innovation , Enhance IAQ และ Optimize Energy Performance , ตามมาตรฐาน WELL ทำได้สูงสุด 6 คะแนน ในหัวข้อ A05 Enhance Air Quality, A06 Enhance Ventilation Design และ A13 Enhance Supply Air

เทคโนโลยีที่องค์กรชั้นนำเลือกใช้
ปัจจุบันมีหลายองค์กรที่ติดตั้ง ระบบ ‘ONNEX Air Scrubber’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอาคารสู่ความยั่งยืน อาทิ ศูนย์การค้า Terminal 21 Pattaya ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองพัทยา ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับชายหาดพัทยา ทำให้ในอาคารแห่งนี้ มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างชื้นกว่าอาคารทั่วไป อาจส่งผลให้ผู้มาใช้บริการรู้สึกไม่สบายตัว และเมื่อมีความชื้นสะสมค่อนข้างมาก การทำงานของระบบปรับอากาศในศูนย์การค้าจึงต้องใช้พลังงานที่สูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากต้องปรับสมดุลให้สภาพอากาศเป็นปกติและลดความชื้นที่เกิดขึ้น อีกทั้งข้อจำกัดของการเป็นศูนย์การค้าที่จำเป็นต้องเปิดใช้ไฟฟ้าต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดทั้งปี ด้วยเหตุนี้ Terminal 21 Pattaya จึงมีความต้องการโซลูชันที่ช่วยดูแลศูนย์การค้าทั้งในด้านพลังงาน พร้อมกับช่วยดูแลคุณภาพของผู้มาใช้บริการ รวมถึงพนักงานทุกคน ตามวิสัยทัศน์เรื่องการพัฒนาธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของ LHMH เพื่อเป็นต้นแบบและมาตรฐานของศูนย์การค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะที่ดี ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีให้กับลูกค้า

หลังจากดำเนินการติดตั้งระบบ ‘ONNEX Air Scrubber’ ปัจจุบันพบว่าทางศูนย์การค้า Terminal 21 Pattaya สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการใช้ไฟฟ้าลงได้ราว ๆ 17% ต่อปี อีกทั้งยังพบว่าสภาพอากาศภายในศูนย์การค้าดีขึ้นเนื่องจากปริมาณความชื้นลดลงจากเดิมเป็นอย่างมาก

การมุ่งสู่เป้าหมายเพื่อผลลัพธ์ Net Zero 2065 ของประเทศไทย แม้จะเป็นเป้าหมายในระยะยาว แต่ต้องไม่ลืมว่าผลลัพธ์ของอนาคตล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำในวันนี้ทั้งสิ้น หากทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมแรง และปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบที่แตกต่างตามศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่กระบวนการคิดจนถึงปลายทางในการลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะใกล้ในปี 2030, ปี 2050 หรือระยะไกลในปี 2065 สามารถเกิดขึ้นจริงได้ โดยคนรุ่นเราสามารถส่งต่อโลกที่มีคุณภาพที่ดีให้แก่คนรุ่นต่อไปได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ONNEX Air Scrubber สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : โทร 02-030-1000 ต่อ 5000 หรือ 065-719-7908, E-mail : smartbuilding@scg.com