ในแต่ละวันคนส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่ในพื้นที่อาคารมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่ในอาคารมีผลอย่างมากในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค ในช่วงที่ทั้งโลกยังคงรอวัคซีนเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 (COVID-19)นั้น แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอาคารที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำทุกวันปลอดภัยจากเชื้อโรค ประเด็นนี้นับเป็นความท้าทายใหม่ในยุค Next Normal ของเจ้าของอาคาร ซึ่งควรหันมาให้ความสำคัญในการสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานอาคาร โดยได้มีแนวทางแนะนำการปรับปรุงอาคารเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคระบบทางเดินหายใจ จาก fitwel มาตรฐานอาคารที่ริเริ่มโดยกรมควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยสามารถสรุปรูปแบบใหญ่ๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. เพิ่มปริมาณอากาศจากภายนอก (Outdoor Air)
หากระบบปรับอากาศในพื้นที่ใช้งานในอาคารปัจจุบันไม่มีการระบายอากาศที่เพียงพอ ก็อาจส่งผลในการสะสมเชื้อโรคและทำให้ผู้ใช้ชีวิตในอาคารรู้สึกไม่สบาย หรือเวียนศีรษะจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ในพื้นที่ที่สูงเกินไปได้ การเพิ่ม Air Change Rate ให้กับพื้นที่นั้น จึงเป็นวิธีที่จะสามารถเจือจางหรือพาเชื้อโรคออกไปจากพื้นที่ได้ไวขึ้น ในพื้นที่ปลอดเชื้ออาจมีการออกแบบสูงถึง 12 Air Change Rate ต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ในการปรับปรุงระบบควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญวิศวกรงานระบบเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการใช้พลังงานมากเกินไป กรมควบคุมโรคของประเทศจีนแนะนำว่า สำหรับที่พักอาศัย เจ้าของบ้านสามารถเพิ่ม Air Change Rate ได้ด้วยการเปิดประตูหรือหน้าต่างทิ้งไว้ช่วงเช้าและเย็นครั้งละประมาณ 30 นาทีเช่นเดียวกัน
2. ติดตั้งฟิลเตอร์ในระบบปรับอากาศ
เนื่องจากไวรัสในตระกูล Corona หรือ COVID-19 มีพฤติกรรมเป็น Air-Bourne คือสามารถเกาะกับฝุ่น (PM10, PM2.5) เพื่อเป็นพาหะในการแพร่กระจายหรือลอยอยู่ในพื้นที่ได้เป็นเวลานาน การป้องกันฝุ่นจากภายนอกจึงเป็นอีกประเด็นที่ควรมีการดำเนินการ โดยติดตั้งแผ่นกรองอากาศที่ระบบปรับอากาศเพื่อลดปริมาณฝุ่นจากภายนอกซึ่งสามารถเป็นพาหะของเชื้อโรคในอาคาร ยกตัวอย่างเช่น อาคารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน LEED มีการติดตั้งแผ่นกรองอากาศในระดับ MERV 13 นอกจากจะช่วยกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 0.03 ไมครอน แล้ว ยังมีผลการศึกษาที่ประเมินว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้ตั้งแต่ 31-47% เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้แผ่นกรองอีกด้วย
3. การควบคุมความชื้น
การคุมความชื้นให้อยู่ในระหว่าง 40 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์เป็นช่วงที่มีการศึกษาว่าสามารถขัดขวางการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ดีที่สุด ทั้งนี้ การดำเนินการควรอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอาคารโดยเฉพาะ และไม่ควรนำเครื่องทำความชื้นส่วนบุคคลมาใช้เนื่องจากจะเป็นการกระทบต่อระดับความชื้นโดยรวมของอาคาร
4. เทคโนโลยีฆ่าเชื้อโรค
ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีเทคโนโลยีที่อาคารนิยมนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคได้แก่ Bi-Polar Ionizer และ UV-C ซึ่งมีวิธีทำงานและใช้งานที่ต่างกัน คือ Bi-Polar Ionizer ใช้การสร้างสนามแม่เหล็กเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยสามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีคนอยู่ได้ จึงเหมาะกับพื้นที่ทำงานหรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ ส่วน UV-C สามารถใช้งานเพื่อฆ่าเชื้อโรคได้เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากตัวรังสีเป็นอันตรายต่อมนุษย์ จึงต้องวางแผนตารางเวลาในการใช้งาน หรือ ใช้งานในพื้นที่ควบคุมที่ผู้ใช้งานทั่วไปเข้าไม่ถึง เช่น ห้อง AHU หรือเป็นตู้สำหรับฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดที่อาจปนเปื้อนต่างๆ
5. อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในที่นี้ได้แก่หน้ากากอนามัย ถุงมือ หรือ แว่นตา ซึ่งการจัดหาเครื่องมือป้องกันการติดเชื้อทั้งสำหรับผู้ใช้งานอาคารและพนักงานทำความสะอาด เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการลดการแพร่กระจายเชื้อได้ สำหรับผู้ใช้งานอาคารควรมีอุปกรณ์ป้องกันรองรับ หรือจำหน่ายในลักษณะตู้กด กรณีที่ต้องการใช้งานฉุกเฉิน
6. มาตรการทำความสะอาด
นอกจากมาตรการทำความสะอาดในพื้นที่ที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู, ปุ่มลิฟท์, สวิตช์ไฟ, ห้องน้ำ (รวมถึงตู้ขายหน้ากากในข้อ 4) แล้ว ยังมีคำแนะนำเกี่ยวกับสารเคมีทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ เช่น 5.25%–8.25% Sodium Hypochlorite, 70% Ethanol, 5% Benzalkonium Chloride (Lysol), หรือ 10%Sodium Hypochlorite โดยสามารถดูแนวทางเพิ่มเติมได้จากกรมควบคุมโรค นอกจากนี้ การมีแผนเตรียมการกรณีที่เกิดการติดเชื้อในพื้นที่ จะทำให้การควบคุมเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการแพร่กระจายได้เช่นเดียวกัน
7. การล้างมือ
กรมควบคุมโรคให้คำแนะนำว่าการล้างมือเป็นมาตรการการควบคุมโรคที่ได้ผลมากที่สุดมาตรการหนึ่ง ดังนั้น การเตรียมสบู่ กระดาษเช็ดมือ หรือแอลกอฮอล์ล้างมือ ในพื้นที่ ก็มีส่วนช่วยในการลดการแพร่กระจายของเชื้อได้อีกทางเช่นกัน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ เจ้าของอาคาร หรือ เจ้าของโครงการ สามารถหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการรับรองอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ เพื่อช่วยให้คำแนะนำและ ประเมินโครงการเบื้องต้น เพื่อหามาตรฐานที่เหมาะสมในการพัฒนาโครงการต่อไป
ในการวัดค่าความเป็นมิตรต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานอาคารนั้น เริ่มมีการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กรต่างๆ มาตั้งแต่ช่วงปี 2000 จากปัญหาการป่วยไข้ที่เกิดขึ้นจากอาคาร (sick building Syndrome) ทั้งโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจจากระบบอากาศหมุนเวียนภายใน หรือโรคไม่ติอต่อ (Non-communicable Disease: NCD) เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม โรคอ้วน หรือโรคหัวใจ เป็นต้น ที่ผ่านมา เราอาจคุ้นเคยกันบ้างกับ มาตรฐาน WELL หรือ WELL Building Standard มาตรฐานอาคารทางสุขภาวะที่เริ่มต้นขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรฐานอาคารที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณภาพการอยู่อาศัยของผู้ใช้อาคาร เพื่อให้สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมอย่างในปัจจุบันได้ โดยการรับรองอาคารตามมาตรฐาน WELL จะมีการประเมินหลังการก่อสร้างที่จะเข้ามาตรวจวัดพื้นที่หลังจากที่อาคารสร้างเสร็จแล้วว่าผ่านตามข้อกำหนดหรือไม่